“โรคปริทันต์” ภัยร้ายที่คุกคามฟันและสุขภาพ

“โรคปริทันต์” ภัยร้ายที่คุกคามฟันและสุขภาพ

โรคปริทันต์ หรือที่คนไทยมักเรียกว่า “โรครำมะนาด” เป็นโรคเกี่ยวกับการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบฟัน เช่น เหงือก เอ็นยึดปริทันต์ และกระดูกเบ้าฟัน โรคนี้ถือเป็นภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา สามารถลุกลามจนทำให้ฟันหลุดหรือหลุดร่วงได้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อการเคี้ยวอาหารหรือรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมโยงไปถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ด้วย ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การป้องกัน และการรักษาของโรคปริทันต์ เพื่อให้คุณสามารถรักษาสุขภาพช่องปากให้แข็งแรงและป้องกันไม่ให้โรคร้ายนี้เข้ามาคุกคามสุขภาพของคุณได้

สาเหตุของโรคปริทันต์

โรคปริทันต์เกิดจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์ (Plaque) บนฟัน คราบจุลินทรีย์นี้เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่สามารถทำลายเนื้อเยื่อรอบฟันได้ หากไม่ถูกกำจัดออกในเวลาที่เหมาะสม คราบจุลินทรีย์จะกลายเป็นหินปูน (Calculus) ที่ยึดติดแน่นกับฟันและเหงือก ซึ่งไม่สามารถกำจัดออกได้ด้วยการแปรงฟันธรรมดา นอกจากคราบจุลินทรีย์แล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคปริทันต์ เช่น:

  • การสูบบุหรี่: บุหรี่มีผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดในเหงือก ทำให้เนื้อเยื่อเหงือกได้รับออกซิเจนน้อยลง ส่งผลให้เกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังลดประสิทธิภาพในการรักษาของร่างกาย ทำให้การรักษาโรคปริทันต์เป็นไปได้ยากขึ้น
  • โรคเบาหวาน: คนที่มีโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคปริทันต์ เพราะระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีประสิทธิภาพน้อยลง และร่างกายอาจมีปัญหาในการควบคุมการอักเสบ
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงต่าง ๆ เช่น ช่วงตั้งครรภ์ วัยรุ่น และวัยหมดประจำเดือน ทำให้เหงือกไวต่อการอักเสบและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  • ยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น ยากดภูมิคุ้มกัน ยาต้านอาการซึมเศร้า และยาที่ทำให้ปากแห้ง อาจมีผลต่อสุขภาพเหงือกและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคปริทันต์
  • พันธุกรรม: บางคนมีความเสี่ยงสูงต่อโรคปริทันต์โดยปัจจัยทางพันธุกรรม หากมีประวัติคนในครอบครัวที่เป็นโรคนี้ ก็อาจมีโอกาสที่จะเป็นโรคได้เช่นกัน

อาการของโรคปริทันต์

อาการของโรคปริทันต์มีความแตกต่างกันไปตามระยะของโรค ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหลายระยะ ได้แก่:

  1. เหงือกอักเสบ (Gingivitis): ระยะเริ่มต้นที่เหงือกมีอาการบวม แดง และมีเลือดออกง่ายขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน หากรักษาในระยะนี้ โรคสามารถหายขาดได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยความเสียหาย
  2. ปริทันต์อักเสบระยะเริ่มต้น: หากเหงือกอักเสบไม่ได้รับการรักษา จะเริ่มมีการสะสมของคราบหินปูนที่ลึกเข้าไปในร่องเหงือก ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น เหงือกร่น และเริ่มมีการทำลายกระดูกที่รองรับฟัน
  3. ปริทันต์อักเสบระยะกลาง: ฟันเริ่มโยกเล็กน้อย ร่องเหงือกเริ่มลึกลง มีหนองออกจากร่องเหงือก และมีกลิ่นปากแรงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่าโรคกำลังลุกลามเข้าสู่กระดูกเบ้าฟัน
  4. ปริทันต์อักเสบระยะรุนแรง: ในระยะนี้ ฟันจะโยกมากขึ้น เนื้อเยื่อรอบฟันถูกทำลายอย่างรุนแรงจนไม่สามารถยึดฟันไว้ได้อีกต่อไป ส่งผลให้ฟันอาจหลุดร่วง และต้องถอนออกในที่สุด

ผลกระทบของโรคปริทันต์ต่อสุขภาพโดยรวม

โรคปริทันต์ไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพช่องปาก แต่ยังเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ด้วย เช่น:

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด: การอักเสบเรื้อรังจากโรคปริทันต์ทำให้แบคทีเรียและสารพิษเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวหรือการอุดตันของเส้นเลือดหัวใจได้
  • โรคเบาหวาน: โรคปริทันต์ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และยากต่อการควบคุม ส่งผลให้การควบคุมโรคเบาหวานยากขึ้น
  • ปัญหาการตั้งครรภ์: หญิงตั้งครรภ์ที่มีโรคปริทันต์อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะคลอดก่อนกำหนด และน้ำหนักของทารกต่ำกว่าเกณฑ์

การป้องกันและการรักษาโรคปริทันต์

การป้องกันโรคปริทันต์สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการดูแลสุขอนามัยในช่องปากอย่างเหมาะสม และพบทันตแพทย์เป็นประจำ:

  • การดูแลสุขอนามัยช่องปาก: การแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และการใช้ไหมขัดฟันเพื่อลดการสะสมของคราบจุลินทรีย์
  • การตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ: การพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเพื่อขูดหินปูนและตรวจสุขภาพเหงือก ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคปริทันต์
  • การเลิกสูบบุหรี่: การเลิกสูบบุหรี่ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคปริทันต์ แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพในด้านอื่น ๆ ด้วย
  • การควบคุมโรคประจำตัว: การควบคุมโรคเบาหวานหรือโรคที่เกี่ยวข้องจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคปริทันต์

หากพบว่ามีอาการของโรคปริทันต์ ควรรีบพบทันตแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งการรักษาอาจประกอบด้วย:

  • การขูดหินปูนและเกลารากฟัน: การขูดหินปูนช่วยกำจัดคราบจุลินทรีย์และหินปูนที่สะสมอยู่ในร่องเหงือก ซึ่งเป็นการป้องกันการอักเสบเพิ่มเติม
  • การผ่าตัดเหงือก: ในกรณีที่ร่องเหงือกลึกมาก ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดเหงือกเพื่อลดความลึกของร่องเหงือก
  • การใช้ยาปฏิชีวนะ: ในบางกรณีที่การอักเสบรุนแรง ทันตแพทย์อาจให้ใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมการติดเชื้อ

สรุป

โรคปริทันต์เป็นปัญหาสุขภาพช่องปากที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถนำไปสู่การสูญเสียฟันและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ การดูแลสุขอนามัยช่องปาก การพบทันตแพทย์เป็นประจำ และการรักษาอาการที่พบตั้งแต่ระยะแรกเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคร้ายนี้ ให้คุณมีสุขภาพฟันและเหงือกที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน

ปรึกษาเรื่องบริการทันตกรรมสามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทร 062-265-5898 หรือ Line: @thetreedental